ปัญหาสำคัญข้อหนึ่งที่นักเทรดต้องเผชิญคือความขัดแย้งของสัญญาณในกรอบเวลาที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น สัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นใน H1 และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นใน H4 สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอน และอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ เราจะวิเคราะห์ถึงวิธีการเชื่อมโยงกรอบเวลาให้ถูกต้อง จำนวนที่ต้องพิจารณา และความเป็นไปได้ในการซื้อขาย โดยมุ่งเน้นที่เพียงกรอบเวลาเดียวเท่านั้น
ทำไมจึงเกิดข้อขัดแย้ง?
แต่ละกรอบเวลาจะแสดงรายละเอียดการเคลื่อนไหวของตลาดในระดับที่แตกต่างกัน:
-
กรอบเวลาระดับเล็ก (M1-M30) ให้สัญญาณที่เร็วกว่าแต่มีสัญญาณรบกวนจากตลาดมากกว่า
-
กรอบเวลาระดับกลาง (H1-H4) ใช้เพื่อการวิเคราะห์ที่สมดุลมากขึ้น
-
กรอบเวลาเก่า (D1-W1-MN) แสดงให้เห็นเทรนด์ทั่วโลก และระดับที่สำคัญ
ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเมื่อตลาดอยู่ในช่วงการแก้ไข หรือการรวมตัวที่ระดับหนึ่ง แต่ยังคงอยู่ในเทรนด์ในอีกระดับหนึ่ง
เราจะเชื่อมโยงกรอบเวลาอย่างถูกต้องได้อย่างไร?
วิธีที่ดีที่สุดในการขจัดข้อขัดแย้งคือการใช้การวิเคราะห์ตลาดแบบหลายกรอบเวลา (MTF) อย่างน้อยสามระดับ:
-
ทั่วโลก (กรอบเวลาที่เก่ากว่า) – กำหนดเทรนด์หลัก ตัวอย่างเช่น หากมีเทรนด์ขาขึ้นใน D1 ก็จะให้ความสำคัญกับการซื้อเป็นหลัก
-
การทำงาน (กรอบเวลาระดับกลาง) – ส่งสัญญาณเข้าสู่ทิศทางของเทรนด์โลก ตัวอย่างเช่น บน H4 คุณสามารถมองหาการแก้ไขเพื่อเข้าสู่การต่อเนื่องของเทรนด์ D1
-
แม่นยำ (กรอบเวลาระดับเล็ก) – ใช้ในการค้นหาจุดเข้าสู่ตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง เช่น ใน M15 หรือ M5
หากเทรนด์เป็นขาขึ้นในกรอบเวลาที่เก่ากว่า แต่ในกรอบเวลาระดับกลาง เกิดการแก้ไข กรอบเวลาระดับเล็กจะช่วยกำหนดจุดสิ้นสุดของการแก้ไขเพื่อเป็นจุดเข้าสู่ตำแหน่งของเทรนด์
ต้องพิจารณากรอบเวลามากแค่ไหน?
จำนวนกรอบเวลาที่เหมาะสมคือสามกรอบ ซึ่งจะทำให้ภาพรวม สัญญาณการทำงาน และรายการเข้าที่แม่นยำสมดุล อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเก็งกำไร อาจมีเพียงสองอย่างเท่านั้นที่สำคัญ (ตัวอย่างเช่น M1-M5 และ M15) ในขณะที่สำหรับนักเทรดแบบตำแหน่ง การวิเคราะห์ D1 และ W1 ก็เพียงพอแล้ว
เป็นไปได้ไหมที่จะสามารถทำการซื้อขายได้สำเร็จภายในกรอบเวลาเดียว?
ในทางเทคนิคสามารถทำได้ แต่จะเพิ่มโอกาสผิดพลาด หากนักเทรดทำการซื้อขายภายในเพียงกรอบเวลาเดียว นักเทรดก็มีความเสี่ยงที่จะไม่สนใจเทรนด์ทั่วโลก หรือจับสัญญาณเท็จในช่วงเวลาการรวมตัว เพื่อลดความเสี่ยงนี้ คุณสามารถใช้เครื่องมือเพิ่มเติมได้ ดังนี้:
-
ตัวชี้วัดเทรนด์ (เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ MACD) เพื่อกำหนดเทรนด์โดยรวม
-
ระดับแนวรับ และแนวต้านจากกรอบเวลาที่สูงกว่า
-
เส้นเทรนด์เพื่อดูว่าเทรนด์มีความแข็งแกร่งแค่ไหน กำลังเร่งตัวขึ้น หรือชะลอตัวลง
-
วิเคราะห์ปริมาตรเพื่อยืนยันความแรงของการเคลื่อนไหว
สรุป
การใช้วิธีการหลายกรอบเวลาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อขจัดข้อขัดแย้งระหว่างกรอบเวลาต่าง ๆ การวิเคราะห์ตลาดจะเหมาะสมที่สุดหากแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับโลก ระดับการทำงาน และระดับที่แม่นยำ สามารถใช้เพียงกรอบเวลาเดียวได้ แต่มีความเสี่ยงมากกว่า การใช้กรอบเวลาที่เหมาะสมหลายกรอบเวลาจะช่วยให้คุณปรับปรุงความแม่นยำของสัญญาณ และเพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขายได้