ในโลกแห่งการซื้อขาย สิ่งสำคัญคือการสังเกตเห็นในสิ่งที่ผู้อื่นมองข้าม เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงอย่างหนึ่งคือ SMT-divergence (Smart Money Technique Divergence) นี่เป็นวิธีการเชิงปฏิบัติที่นักเทรดของสถาบัน และผู้ติดตามแนวคิดเงินอัจฉริยะใช้เป็นประจำ มาทำความเข้าใจกันว่ามันคืออะไร แตกต่างจาก Divergence แบบคลาสสิกอย่างไร และจะมองหาสัญญาณดังกล่าวบนกราฟได้อย่างไร
SMT Divergence คืออะไร?
SMT-divergence (Smart Money Technique Divergence) คือ ความแตกต่างระหว่างการเคลื่อนไหวของตราสารทางการเงินที่คล้ายคลึงกันสองรายการ (หรือมากกว่า) ซึ่งชี้วัดถึงการกลับตัว หรือการอ่อนตัวลงของเทรด์ปัจจุบัน มันตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าเงินอัจฉริยะจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้โดยตรง แต่การกระทำของมันจะสามารถคำนวณได้โดยการวิเคราะห์พฤติกรรมของสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง
พูดอย่างง่าย ๆ ก็คือ หากเครื่องมือหนึ่งอัปเดตค่าสูงสุด/ต่ำสุด ในขณะที่อีกเครื่องมือหนึ่งไม่ทำเช่นนั้น แสดงว่าสิ่งนั้น “ไม่สะอาด” และอาจเกิดการกลับตัว หรือการปรับฐานได้
ความแตกต่างของ SMT จะเปรียบเทียบกับ 2 ตราสารที่สัมพันธ์กันเสมอซึ่งโดยปกติแล้วจะมาจากประเภทสินทรัพย์เดียวกัน
ตัวอย่างที่ 1:
สมมติว่าเรามีดัชนีสองตัวคือ NASDAQ (US100) กับ S&P 500 (US500) ทั้งสองตราสารมีความสัมพันธ์กัน และจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์เดียวกัน ทั้งสองกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันโดยประมาณ อย่างไรก็ตาม NASDAQ ปรับปรุงระดับสูงสุดในพื้นที่ในบางจุด ในขณะที่ S&P 500 จะไม่ทำเช่นนั้น นี่คือความแตกต่างของ SMT: ตลาดแสดงให้เห็นว่า “มีบางอย่างผิดปกติ” และการกลับตัวน่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

ตัวอย่างที่ 2: SMT Divergence สำหรับ EUR/USD กับ GBP/USD

ทำไมมันถึงใช้งานได้ผล?
“เงินอัจฉริยะ” ไม่ได้เปิดเผยเจตนาของมันเองตรง ๆ เสมอไป บางครั้งมันก็ “เคลื่อนย้าย” หนึ่งตราสารในขณะที่ปล่อยให้ตราสารอีกหนึ่งตราสารไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้ผู้ชนเข้าใจผิด ตัวอย่าง เช่น ดัชนี NASDAQ กำลังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น แต่ S&P 500 ไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวดังกล่าวซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อติดกับดัก และอาจเกิดการกลับตัวไปเป็นขาลง
ความแตกต่างระหว่าง SMT divergence และ classic indicator divergence คืออะไร?
ความแตกต่างหลัก ๆ มีดังต่อไปนี้:
SMT divergence | ความแตกต่างของตัวชี้วัด |
เปรียบเทียบสองสินทรัพย์ | เปรียบเทียบราคา และตัวชี้วัด (RSI และ MACD เป็นต้น) |
ไม่ใช้ตัวชี้วัด | ใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค |
สะท้อนให้เห็นการจัดการ และพฤติกรรมของ “เงินอัจฉริยะ” | ภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น |
มักจะแม่นยำกว่า | สามารถให้สัญญาณเท็จได้มากมาย |
ฉันควรใช้เครื่องมือใดสำหรับ SMT Divergence?
วิธีที่ดีที่สุดในการเปรียบเทียบตลาดที่เชื่อมโยงกันคือการเปรียบเทียบตลาดที่มีความเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันเนื่องจากตลาดเหล่านี้อยู่ภายใต้กระแสเงินทุนไหลเวียนเดียวกัน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของคู่ที่เป็นที่ได้รับความนิยม:
ดัชนี:
- S&P 500 (US500) กับ NASDAQ (US100)
- Dow Jones (US30) กับ NASDAQ (US100)
สกุลเงิน:
- EUR/USD กับ GBP/USD
- EUR/JPY กับ USD/JPY
พันธบัตร:
- US 10-Year (ZN) กับ US 30-Year (ZB)
ทองคำ กับเงิน:
- XAU/USD กับ XAG/USD
เลือกคู่ที่มีความสัมพันธ์สูง ดังนั้นความแตกต่างของ SMT จะมีความสำคัญเป็นพิเศษ
คุณจะมองหา SMT Divergence ได้อย่างไร?
- เปิดกราฟสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องสองรายการ (เช่น US500 กับ US100)
- เปรียบเทียบค่าสูง หรือต่ำในพื้นที่ในช่วงเวลาเดียวกัน
มองหา:
- ตราสารหนึ่งสร้างจุดสูงสุดใหม่ แต่อีกตราสารหนึ่งสร้างจุดสูงสุดใหม่ไม่ได้ หรือตราสารหนึ่งสร้างจุดต่ำใหม่ และอีกตราสารหนึ่งไม่สร้างจุดต่ำใหม่
- นี่คือความแตกต่างที่อาจเกิดขึ้นของ SMT — ซึ่งเป็นสัญญาณของการกลับตัว หรือการปรับฐาน
- ยืนยันแนวคิดด้วยปริมาณ สภาพคล่อง และพฤติกรรมราคา (การเคลื่อนไหวของราคา)
ฉันควรพิจารณา SMT Divergence ในกรอบเวลาไหน?
กรอบเวลาที่คุณเลือกขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อขายของคุณ แต่ความแตกต่างของ SMT มักจะได้ผลดีที่สุดกับการซื้อขายรายวัน และระยะสั้นที่มีความแม่นยำสูง วิธีการแบ่งตามประเภทนักเทรดมีดังต่อไปนี้:
Intraday (การซื้อขายระหว่างวัน)
- กรอบเวลา: M5, M15, M30
- เหตุผล: ในกรอบเวลาเหล่านี้ ความแตกต่างระหว่าง SMT และกรอบเวลาอื่น ๆ มักเกิดขึ้นก่อนการเริ่มต้นเซสชัน (โดยเฉพาะก่อนเซสชันของอเมริกา) ในด้านสภาพคล่อง ถือเป็นจุดที่ดีในการเข้าซื้อขายแบบกระทันหัน
การซื้อขายแบบสวิง
- กรอบเวลา: H1, H4, D1
- เหตุผล: ในกรณีนี้ ความแตกต่างของ SMT สามารถบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของระยะการสะสม/การกระจาย และการเกิดขึ้นของจุดเข้าในระยะกลาง ทำงานได้ดีบนโซนสภาพคล่องหลัก
- ตัวอย่าง: EUR/USD เกิดราคาทะลุไม่สำเร็จในแต่ละวัน แต่ GBP/USD กลับไม่เป็นเช่นนั้น นี่คือสัญญาณว่าตลาดน่าจะพร้อมสำหรับการกลับตัวแล้ว
การเก็งกำไร (Scalping)
- กรอบเวลา: M1, M5
- สิ่งสำคัญ: เฉพาะเมื่อมีโครงสร้างตลาดที่ชัดเจน เช่น ในระหว่างการเปิดเซสชั่นในลอนดอน หรือนิวยอร์ก สัญญาณอาจจะ “รบกวน” ได้ ดังนั้นการยืนยันจากบริบทจึงเป็นสิ่งที่ดี
เคล็ดลับของกรอบเวลา:
- อย่ามองหาความแตกต่างของ SMT ในพื้นที่ “ว่างเปล่า” ควรเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวม: ใกล้สภาพคล่อง ที่จุดสุดขั้วหลัก (สูงสุด/ต่ำสุดของวัน หรือสัปดาห์) หรือหลังการทะลุ/การทะลุที่ไม่สำเร็จ
- แนวทางที่ดีที่สุดคือแนวทางหลายเฟรม ตัวอย่างเช่น H1 ใช้สำหรับบริบท และ M15-M5 ใช้สำหรับการเข้าสู่ตลาด
- ยิ่งกรอบเวลาสูงขึ้น สัญญาณจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่โอกาสจะเกิดขึ้นน้อยลง
คำเตือน!
ความแตกต่างของ SMT ไม่ใช่ “จอกน้ำศักดิ์สิทธิ์” มันใช้:
- ประสบการณ์ในการวิเคราะห์กราฟด้วยตา
- ความเข้าใจในสภาวะของตลาด
- และควรได้รับการยืนยันจากเครื่องมือเงินอัจฉริยะอื่นๆ เช่น สภาพคล่อง ความไม่สมดุล และการระงับคำสั่ง เป็นต้น
ความสำคัญของ SMT-Divergence
SMT-divergence เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในคลังอาวุธของนักเทรดที่มุ่งเน้นไปที่ความเป็นเหตุเป็นผลของเงินอัจฉริยะ ต่างจากสัญญาณตัวชี้วัด มันช่วยให้คุณเห็นความแตกต่างที่ลึกซึ้งในโครงสร้างของตลาด หากคุณเรียนรู้ที่จะมองเห็นมัน มันอาจกลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันของคุณได้